วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2550
งานปีใหม่ที่โรงเรียน
วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2550
สอบวันสุดท้าย
ใกล้ปีใหม่มาดู...Cake...กัน
Cake is often the dessert of choice for meals at ceremonial occasions, particularly weddings, anniversaries and birthdays. There are literally millions of cake recipes (some are bread-like and some rich and elaborate) and many are centuries old. Cake making is no longer a complicated procedure; while at one time considerable labor went into cake making (particularly the whisking of egg foams), baking equipment and directions have been so perfected and simplified that even the amateur cook may easily become an expert baker.
Jour de l'an
Pour les calendriers solaires (comme le calendrier grégorien), la date du jour de l'An est fixe d'une année sur l'autre, alors qu'elle est dite mobile dans le cas des calendriers luni-solaire (comme le calendrier chinois).
On peut citer en exemple l'Égypte antique, qui (bien qu'elle utilisait un calendrier civil solaire) fêtait la nouvelle année à l'arrivée annuelle de la crue du Nil. Cette crue étant due aux pluies ayant lieu loin en amont (dans les hauts plateaux), sa date était entièrement tributaire de phénomènes météorologiques. Cependant, elle intervenait généralement à la même période.
Différents calendriers avec la correspondance des dates de leur nouvel an dans le calendrier grégorien :
-calendrier romain : 1er mars
-calendrier julien : 1er janvier
25 mars, jour de l'Annonciation, adopté par l'Église jusqu'en 1563
-calendrier chinois : entre le 20 janvier et le 18 février
-calendrier égyptien antique : le 19 juillet (lors de la crue du Nil)
-calendrier persan (zoroastrien): 21 mars (solstice du printemps)
-Calendrier républicain (révolutionnaire) : 22 septembre (1 vendémiaire), à l'Équinoxe automnal.
-Calendrier universel 1er janvier
-Calendrier fixe 1er janvier
วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2550
คนที่มีความสุขที่สุดในโลกไม่ใช่คนที่ร่ำรวย
วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2550
Pétanque
C'est un sport principalement masculin (seulement 14 % des licenciés sont des femmes en France). Néanmoins, c'est l'un des rares sports où des compétitions mixtes sont organisées.
วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2550
สนุกมาก
ดวงจันทร์ 2 ดวง
วันนี้คุณใช้อะไรคบเพื่อนของคุณ??
ถ้าไม่... แล้วอะไรล่ะ ที่ทำให้เรามาพบกับคนหลายคนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน
ถ้าไม่... แล้วอะไรล่ะ ที่ทำให้เราถูกชะตาจนเรียกคนๆนั้นว่า “เพื่อน”
“เพื่อน” คนๆหนึ่งที่ครั้งหนึ่งก็เป็นได้แค่ คนแปลกหน้าคนหนึ่ง
เวลา ผ่าน เวลา คนแปลกหน้าคนนั้นก็กลับกลายมาเป็นคนที่เรา “ไว้ใจ”
“เพื่อน” คนที่พร้อมอยู่กับเราเสมอๆ ไม่ว่า สุข ทุกข์ เหงา เศร้า
“เพื่อน” คนที่พร้อมแชร์ความรู้สึกต่างๆ
โดยไม่เคยเอ่ยปากว่า “ถ้าทำอย่างนั้นแล้วฉันจะได้อะไร”
“เพื่อน” คนที่ไม่เคยสนใจว่าเราจะหน้าตาดี
มีสกุล ร่ำรวย ยากจน สูง ต่ำ ดำ ขาว หรือไม่
“เพื่อน”คนที่ไม่เคยเสแสร้ง แกล้งทำ ...แต่เพื่อนตาย หายากเหลือเกิน
เรามองด้วยตาเปล่าไม่ได้ว่า คนๆนี้เป็นเพื่อนตายของเราหรือไม่
เรามองด้วยตาเปล่าไม่ได้ว่า คนๆนี้ เป็นคนที่พร้อมจะเคียงข้างเราเสมอไปมั๊ย
เรามองด้วยตาเปล่าไม่ได้ว่า คนๆนี้จริงใจกับเราแค่ไหน
ทั้งหมดนี้ เราใช้ “ตา” มองไม่เห็น แต่!! ทั้งหมดนี้เราใช้ “ใจ” มองเห็นได้
เมื่อบทความ ล่วงเลยมาถึงตอนนี้ คุณล่ะ? ใช้ตามองเพื่อน หรือ ใช้ใจมองเพื่อน
เราบอกไม่ได้ว่าคนๆไหนดี ไม่ดี
จนกว่า... เราจะมีโอกาส รู้จักกับคนนั้น แล้วใช้ ใจ ของเราสัมผัส
การคบใครสักคน คบเพียงกายก็ไร้ประโยชน์
แต่ การคบใครสักคน จำเป็นต้องคบกันด้วยใจ
วันนี้.... คุณ ใช้อะไร คบเพื่อนของคุณ
อย่าบอกนะ ว่าคุณก็เป็นคนที่คบเพื่อนแค่ตา......
เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น คุณก็คงเป็นคนที่ไม่น่าคบคนหนึ่ง
คุณ..โชคดีจัง ที่มีเพื่อนรักคุณ และ คบคุณด้วยใจ
บอกกับเค้าว่า “คุณดีใจที่มีเพื่อนอย่างเค้า“รักเพื่อนเสมอ”
ไม่ว่าเพื่อนจะอยู่ที่ไหนมิตรภาพยังคงเดิม
วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2550
สนุกมาก...
ประเทศที่น่าอยู่ ที่สุดในโลก
10 วิธีบอกรักพ่อแบบอินเทรนด์
2. ส่งการ์ดอวยพรวันพ่อ / โทรศัพท์หรือส่งของขวัญพิเศษไปให้พ่อ หากอยู่ห่างไกล และไม่สะดวกไปหาด้วยตนเอง
3. หากอยู่คนละบ้านและมีครอบครัวใหม่แล้ว ควรพาลูก - ภรรยาไปกราบคารวะพ่อที่บ้าน พร้อมหาของขวัญ เช่น เสื้อผ้า ดอกไม้ ของกินของใช้ ไปให้พ่อ หรือพาพ่อออกไปหาอาหารพิเศษรับประทาน
4. พาพ่อไปนวดตัว นวดเท้า เพื่อสุขภาพ หรือพาไปเข้าคอร์สสุขภาพในต่างจังหวัดที่อากาศดีๆ
5. พาไปทำบุญทำทานที่วัดหรือให้ไปทัวร์มหากุศลต่างๆ เช่น ทัวร์ 9 วัดมงคล เป็นต้น
6. พาไปเที่ยวต่างจังหวัด หรือต่างประเทศหากสุขภาพพ่อแข็งแรงพอและเป็นสถานที่ที่พ่ออยากไป
7. ซื้อคอมพิวเตอร์ให้พ่อ พร้อมสอนให้ใช้เพื่อความเพลิดเพลิน เช่น ส่งเมล์โต้ตอบกับหลานๆ หรือเพื่อนๆ ทางอินเทอร์เน็ต เล่นเกม หรือเปิดหาความรู้ต่าง ๆ
8. ซื้อหนังสือประเภทที่พ่อชอบอ่านให้ พร้อมตัดแว่นตาให้ใหม่หรือพาไปเลสิกสายตา
9. สอบถามหรือสืบถามความปรารถนาของพ่อว่าอะไรที่พ่ออยากทำ และยังไม่ได้ทำ แล้วพยายามจัดหาให้ เช่น อยากเรียนดนตรี แต่ยังไม่เคยมีโอกาสในสมัยเด็กๆ หรือหนุ่มๆ ก็พาพ่อไปสมัครเรียนและให้กำลังใจ เป็นต้น
10. หากพ่อถึงแก่กรรมไปแล้ว ก็อย่าลืมทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้พ่อ หรือไปเลี้ยงคนชรา พระภิกษุป่วย เพื่อส่งผลบุญให้แก่พ่อ
วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550
ทายนิสัยจากสีโปรด
เป็นตัวแทนของความสนุกสนาน และความผ่อนคลาย ใครที่เลือกสีเหลืองเป็นอันดับสอง สามหรือสี่ แสดงว่าคุณเป็นคนมองโลกในแง่ดี ให้ความสำคัญกับอนาคตและไม่ติดอยู่กับอดีต คุณใฝ่หาชีวิตที่เรียบง่าย มองปัญหาเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยและปราศจากความกังวล แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณเป็นคนเกียจคร้าน คนที่ชอบสีนี้อาจเป็นคนทุ่มเทให้กับการทำงาน เพียงแต่ไม่เอาจริงเอาจังอย่างสม่ำเสมอ ก็แหม ! คุณเป็นคนที่ชอบอะไร ๆ ที่ง่าย ๆ และผ่อนคลาย ถ้าคุณเลือกสีเหลืองเป็นอันดับแรก แปลได้ว่าคุณมีความทะเยอทะยาน และกระตือรือร้นกับสิ่งที่ทำให้คุณพอใจและเพลิดเพลิน ถ้าคุณเลือกสีเหลืองเป็นสีสุดท้าย แสดงว่าคุณรู้สึกโดดเดี่ยว จมอยู่กับความหดหู่และผิดหวัง ซึ่งทำให้คุณกลายเป็นคนแยกตัวจากสังคม และชอบปกป้องตัวเองจากคนอื่น ๆ
สีเขียว
เป็นตัวแทนของความมั่นคงและความเป็นอนุรักษ์นิยม หรือต่อต้านความเปลี่ยนแปลง คนที่เลือกสีนี้เป็นอันดับแรกบ่งบอกถึงลักษณะของการเป็นคนหนักแน่นยืนกรานแบบกระต่ายขาเดียว ชอบแสดงความเป็นเจ้าของและค่อนข้างเห็นแก่ตัว คุณเป็นคนมีความสามารถสูงและเป็นนักวัตถุนิยม ชอบสะสมสิ่งหรูหราที่เชิดหน้าชูตา เช่น นาฬิกาโรเล็กซ์ รถยนต์ยี่ห้อดี ๆ ห้องชุดหรูหราที่อยู่บนชั้นสูงสุดหรือเพนท์เฮ้าส์ คุณปรารถนาที่จะสร้างความประทับใจ และคุณเป็นคนกลัวความล้มเหลวในอนาคต ถ้าเลือกสีเขียวเป็นสีสุดท้าย หมายถึง คุณเคยถูกขัดขวางความก้าวหน้า จนทำให้เกิดความรู้สึกต่ำต้อยเจ็บช้ำน้ำใจ ซึ่งยังคงฝังอยู่ในใจของคุณ ทำให้คุณกลายเป็นคนช่างวิพากษ์วิจารณ์ ถากถาง เย้ยหยัน และดื้อรั้น
สีม่วง
เป็นสีที่มีส่วนผสมของสีฟ้าและสีแดง จึงจัดเป็นตัวแทนของความขัดแย้งระหว่างความรุนแรง หุนหัน พลันแล่น และความสงบเยื่อกเย็น ความแตกต่างระหว่างการอยากมีอำนาจควบคุมคนอื่นกับการสยบยอม คนที่ชอบสีม่วงเป็นอันดับแรก บ่งบอกถึงความเป็นคนที่ปรารถนาจะแสวงหาสัมพันธภาพที่ดีเลิศสุดวิเศษ ต้องการค้นหาในสิ่งลี้ลับเหนือโลก คุณมีความเป็นเด็กสูง ค่อนข้างขาดวุฒิภาวะ และมักติดอยู่กับความเพ้อฝัน ส่วนคนที่ชอบสีนี้เป็นอันดับท้าย ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่มีวุฒิภาวะ ไม่ติดอยู่กับความฝันเฟื่อง แต่จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
สีน้ำตาล
เป็นสีของมีสุขภาพที่ดี ถ้าเลือกสีนี้เป็นสีที่สี่หรือห้า แสดงว่าคุณเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพและรูปลักษณ์ จึงเป็นไปได้ที่คุณน่าจะเป็นคนรูปร่างสวยหุ่นดี แต่ถ้าคุณเลือกสีน้ำตาลเป็นอันดับต้น ๆ นั่นหมายถึงคุณเป็นคนขี้กังวลกับเรื่องเจ็บไข้ได้ป่วย และถ้าสีน้ำตาลเป็นสีโปรดอันดับหนึ่งของคุณ แสดงว่าคุณเป็นคนที่ขาดความมั่นใจในตัวเอง ค่อนข้างกระสับกระส่ายกระวนกระวาย หรือหมายถึงการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่มั่นคง เขาพบว่าส่วนใหญ่พวกอพยพจะเลือกสีน้ำตาลเป็นอันดับแรก แต่ถ้าคุณเลือกสีน้ำตาลเป็นอันดับสุดท้าย แสดงว่าคุณเป็นคนไม่แยแสกับเรื่องสุขภาพเลย
สีเทา
จัดเป็นสีกลางๆ และเสมือนจุดกึ่งกลางระหว่างสิ่งที่แตกต่างกันสองสิ่ง และแรงดลใจสองขั้ว คนที่พิศวาสสีเทามากที่สุด หมายถึงการเป็นคนปิดตัวเองจากสิ่งต่างๆ ภายนอก และกันตัวเองให้พ้นจากข้อมูลมัดหรือพันธะทั้งหลายๆ คุณมักขึ้น ๆ ลง ๆ ระหว่างการใช้เหตุผลกับการใช้อารมณ์ และจะรู้สึกเครียดเมื่อต้องมีส่วนร่วมหรือต้องติดอยู่กับกลุ่ม คุณชอบสังเกตการณ์อยู่รอบนอกมากกว่าจะกระโดดเข้ามาร่วมวงกับคนอื่น ๆ ส่วนใครที่เลือกสีเทาเป็นสีสุดท้ายแสดงว่าคุณแสวงหาการมีส่วนร่วม และเป็นคนกระตือรือร้นอย่างมาก
สีฟ้า
เป็นตัวแทนของความสงบและซื่อสัตย์ คนที่ชอบสีฟ้าเป็นชีวิตจิตใจมักเป็นคนอ่อนไหว เซ็นซิทิฟ และรู้สึกเจ็บปวดได้ง่าย คุณพอใจในวิถีการดำเนินชีวิตของตัวเอง คุณปรารถนาชีวิตที่สงบ ราบรื่น ไร้กังวล และพร้อมที่จะยอมอุทิศทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งความปรารถนานี้ คุณต้องการสัมพันธภาพที่มั่นคง ปราศจากความขัดแย้ง คนที่เลือกสีฟ้าเป็นอันดับรองลงมา หมายถึงคุณไม่พอใจในตัวเองยิ่งคุณไม่ชอบสีฟ้ามากเท่าไร ก็แสดงว่าคุณปรารถนาที่จะทำลายสิ่งผูกมัดที่ควบคุมคุณอยู่มากเท่านั้น แต่คุณก็ยังไม่ถึงกับมีความคิดที่จะโผบินไปจากครอบครัวหรือจากหน้าที่การงานจริงๆ นอกจากเพียงแค่รู้สึกทุกข์ใจอยู่เงียบ ๆ
สีดำ
โดยนัยลึก ๆ สีดำหมายถึงคำปฏิเสธว่า ' ไม่ ' ใครที่ชอบสีดำมากที่สุด ( ซึ่งก็หาได้ยาก ) เป็นคนที่ต้องการท้าทายและอยากต่อต้านพรหมลิขิต ถ้าใครเลือกสีดำเป็นอันดับสอง นั่นหมายถึงคุณพร้อมที่จะยอมเสียทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่คุณต้องการ และถือว่าเป็นเรื่องปกติที่จะเลือกสีดำเป็นอันดับที่เจ็ดหรือแปด ซึ่งก็หมายถึงการยอมอยู่ภายใต้การควบคุมของโชคชะตา ถ้าใครเลือกสีเหลืองเป็นอันดับแรกและตามด้วยสีดำ แสดงว่าเป็นคนที่ชอบการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินชีวิตอยู่เสมอ
วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550
ประทับใจมาก
Père Noël
Le Père Noël est l'équivalent français du Santa Claus américain, lui même déformation du Sinter Klaas néerlandais. Il est largement inspiré de Julenisse, un lutin nordique qui apporte des cadeaux, à la fête du milieu de l'hiver, la « Midtvintersblot », ainsi que du dieu celte Gargan, (qui inspira le Gargantua de Rabelais) et du dieu viking Odin, qui descendait sur terre pour offrir des cadeaux aux enfants scandinaves. De Julenisse, le Père Noël a gardé la barbe blanche, le bonnet et les vêtements en fourrure.
Même si le mythe peut varier fortement d'une région à l'autre, notamment à cause du climat du 25 décembre qui peut aller du plein hiver dans l'hémisphère nord au plein été dans l'hémisphère sud, on l'imagine généralement comme un gros bonhomme avec une longue barbe blanche, habillé de vêtements chauds de couleur rouge avec un liseré de fourrure blanche (houppelande) ; les lutins l'aident à préparer les cadeaux. Il effectue la distribution à bord d'un traîneau volant tiré par des rennes (ou sur une planche de surf en Australie). Il entre dans les maisons par la cheminée (s'il y en a une) et dépose les cadeaux dans des chaussures disposées autour du sapin ou devant la cheminée (en France), dans des chaussettes prévues à cet effet accrochées à la cheminée (en Amérique du Nord anglophone et au Royaume-Uni), ou tout simplement sous le sapin de Noël. En Islande, il dépose un petit cadeau dans une chaussure que les enfants laissent sur le bord d'une fenêtre dès le début du mois de décembre. Au Québec, les cadeaux au pied du sapin est de mise, en plus des bas de noël disposé sur la cheminé dans lesquelles l'on met les petites surprises.
Histoire
Saint Nicolas ou Nicolas de Myre, le personnage qui a servi de source d'inspiration au Père Noël, vivait au IVe siècle au sud de la Turquie actuelle près d'Antalya. Il était évêque de Myra. Il fut contemporain de la dernière vague de persécutions et du Concile de Nicée, moment important du christianisme. Selon la légende, il aurait sauvé de la mort trois enfants. À partir du XIIe siècle, la légende du saint s'enrichit avec le personnage du père Fouettard qui punit les enfants désobéissants. Ce personnage disparaît dans le passage au mythe de Santa Claus.Au XIe siècle sa dépouille est volée par des marchands italiens mais ils laissent sur place un morceau de crâne et de mâchoire. Rapportée à Bari dans le talon de la Botte, la relique produirait des miracles.
En Europe, les rituels liés à l'approche de l'hiver sont ancestraux. Une tradition païenne voulait que, pour exorciser la peur de l'obscurité, les jeunes hommes se grimaient et allaient de maisons en maisons pour quémander des offrandes. Le vieux qui présidait ce cortège, est appelé Noël dès le XIIe siècle en France. Au Moyen Âge, l'Église catholique décide de remplacer les figures païennes par des saints. Saint Nicolas est alors présenté comme le saint protecteur des enfants. En mémoire, le 6 décembre de chaque année, un personnage, habillé comme on imaginait que saint Nicolas l'était (grande barbe, crosse d'évêque, mitre, grand vêtement à capuche), va alors de maison en maison pour offrir des cadeaux aux enfants sages.
À la Réforme, les protestants luthériens, qui rejettent le rôle patronal des saints, remplacent saint Nicolas par l'enfant Jésus (le Christkind allemand). C'est au Pays-Bas que saint Nicolas se transforme après la Réforme en un personnage semi-laïc, Sinter Klaas. Étrangement, au Canada, les francophones catholiques utiliseront longtemps le personnage de l'enfant Jésus, alors que Santa Claus se chargera de distribuer des cadeaux aux petits anglophones. De même, bien avant la popularisation du père Noël, les catholiques français attribuaient au Petit Jésus les cadeaux de la nuit de Noël.
Au XVIIIe siècle, les souverains allemands entament un processus de laïcisation : les figures chrétiennes sont remplacées par d'anciens symboles germaniques. C'est le retour du petit peuple des fées, des elfes et du vieil homme de Noël (Weihnachtsmann) qui distribue en traîneau des sapins décorés de cadeaux.
Parallèlement les États-Unis adoptent la coutume néerlandaise de fêter saint Nicolas. Ce sont en effet les Hollandais qui fondent la Nouvelle-Amsterdam au XVIIe siècle, qui deviendra New York quand elle sera prise par les Anglais. Après la guerre d'Indépendance, ses habitants se souviennent de leurs racines hollandaises et Sinter Klaas revient par la littérature et les illustrateurs. Il s'agit alors d'un vieillard à barbe blanche portant un manteau à capuchon. Moralisateur, il récompensait les enfants sages et punissait les dissipés. Progressivement, cette « fête des enfants » est rapprochée de la célébration de la nativité.
Le 23 décembre 1822, le pasteur américain Clement Clarke Moore publie un poème intitulé A Visit from St Nicholas, dans lequel il présente saint Nicolas comme un lutin sympathique, dodu et souriant, qui distribue des cadeaux dans les maisons et se déplace sur un traîneau volant tiré par huit rennes nommés Fougueux (Dasher), Danseur (Dancer), Fringant (Prancer), Rusé (Vixen), Comète (Comet) , Cupidon (Cupid), Tonnerre (Donder) et Éclair (Blitzen). Ce poème a joué un rôle important dans l'élaboration du mythe actuel. Publié pour la première fois dans le journal Sentinel de New York le 23 décembre 1823, il fut repris les années suivantes par plusieurs quotidiens américains, puis traduit en plusieurs langues et diffusé dans le monde entier.
C'est vers 1850 que le passage de la célébration de la Saint-Nicolas à celle de Noël se fixe au Royaume-Uni, en lien avec Charles Dickens et ses « Livres de Noël ».En 1860, le journal new-yorkais Harper's Illustrated Weekly représente Santa Claus vêtu d'un costume orné de fourrure blanche et d'une large ceinture de cuir. Pendant près de 30 ans, Thomas Nast, illustrateur et caricaturiste du journal, illustra par des centaines de dessins tous les aspects de la légende de Santa Claus et donna au mythe ses principales caractéristiques visuelles : un petit bonhomme rond, la pipe au coin de la bouche comme un Hollandais, recouvert de fourrure. C'est également Nast qui, dans un dessin de 1885, établit la résidence du Père Noël au pôle Nord. Cette idée fut reprise l'année suivante par l'écrivain George P. Webster.
C'est en 1931, que le père Noël prit finalement une toute nouvelle allure dans une image publicitaire, diffusée par la compagnie Coca-Cola. Grâce au talent artistique de Haddon Sundblom, le père Noël avait désormais une stature humaine (le rendant ainsi plus convaincant et nettement plus accessible), un ventre rebondissant, une figurine sympathique, un air jovial. La longue robe rouge a été remplacée par un pantalon et une tunique. Ceci est plus marqué aux Etats Unis, car en France, le père Noël a conservé une longue robe rouge. Coca Cola souhaitait ainsi inciter les consommateurs à boire du Coca Cola en plein hiver. Ainsi, pendant près de 35 ans, Coca-Cola diffusa ce portrait du père Noël dans la presse écrite et, ensuite, à la télévision partout dans le monde.
En France, les catholiques, qui depuis longtemps s'échangeaient des petits cadeaux le soir de Noël en l'honneur de la naissance du Christ, résistèrent longtemps au « père Noël », patronyme qui désignera le personnage popularisé en France par les Américains à la fin de la Seconde Guerre mondiale.
Aujourd'hui, le Père Noël est également utilisé le 25 décembre, dans des pays n'ayant pas de tradition chrétienne, tels que la Chine, comme outil de vente et comme occasion de faire des cadeaux, de décorer la ville et de réunir la famille
365 วันเพื่อเรียนรู้คำว่า "รัก"
เชื่อว่าคนที่เกิดมาทุกคนนอกจากความรักที่ได้รับจากคุณพ่อคุณแม่และญาติพี่น้องแล้วพวกเขาก็สนใจที่จะเรียนรู้คำว่า "รัก" อยู่ตลอดชีวิต วันนี้เรามีนิทานที่จะเล่าให้ฟัง หวังว่าเมื่ออ่านจบแล้วพวกเราคงได้เข้าใจและเรียนรู้คำว่า "รัก" ได้มากขึ้น................เรื่องมีอยู่ว่า
เด็กผู้หญิงคนหนึ่งนั่งเหงาอยู่ริมรั้วเธอมองดูกระถางต้นไม้ที่แห้งเฉา ดินแตกระแหง แต่ยังมีเมล็ดพืชงอกงามอยู่ในนั้น เธอเก็บเมล็ดพืชนั้นมาด้วยความสงสัย...อยากรู้ว่ามันงอกขึ้นมาได้อย่างไร?
วันที่ 1 เธอนำเมล็ดพืชนั้นมาปลูกในกระถางใบใหม่..รอคอยวันที่มันจะเติบโต เธออยากเห็นเมล็ดพืชโตเร็วจึงรดน้ำจนล้นกระถาง
วันที่ 2 เธอเฝ้าดูการเจริญเติบโตของเมล็ดพืชนั้น..ทันใดนั้นก็มีปลาทองออกมาจากเมล็ดนั้น เด็กหญิงเอาปลาทองใส่ไว้ในโหลและคิดว่าคงรดน้ำมากเกินไปจึงเอากระถางไปใส่ไว้ในเตาอบและเฝ้าดู
วันที่ 3 เธอเปิดเตาอบออกดูเห็นลูกไก่เดินอยู่ในนั้น มันมองมาที่เธอและเดินตามเธอตลอดเวลา เด็กหญิงมีความคิดว่าควรจะใส่ปุ๋ยให้มันและเริ่มเทปุ๋ยจนหมดถุง และ..รอ
วันที่ 4 มีริบบิ้นสีแดงออกมาจากเมล็ด เธอดีใจมากนำริบบิ้นมาผูกให้กับลูกไก่ แต่ละวันเด็กผู้หญิงจะเฝ้ารอดูว่าจะมีอะไรออกมาจากเมล็ดพืชอีก เธอมีความสุขกับการได้ดูแลเมล็ดพืช รดน้ำ พรวนดิน ให้แสงแดดที่แรงกล้า
วันที่ 30 เด็กหญิงเบื่อที่จะรดน้ำ พรวนดิน ให้แสงแดด และดูแลต้นไม้ เธอรู้สึกไม่ตื่นเต้นกับสิ่งที่จะออกมาจากเมล็ดพืชนั้นเหมือนแต่ก่อน เธอทิ้งต้นไม่นั้นไว้โดยไม่สนใจมันอีก..ต้นไม้เริ่มแห้งเฉาใบไม้เริ่มเป็นสีเหลือง ไม่มีอะไรออกมาจากเมล็ดพืชอีก..
วันที่ 180 ใบไม้เริ่มแห้งกรอบ ดินเริ่มแตกแยกเหมือนครั้งแรกที่เด็กหญิงเจอมัน..เธอเศร้าเสียใจอย่างมาก
วันที่ 250 เด็กหญิงรดน้ำในปริมาณที่พอเหมาะ...เธอมีความหวังที่จะได้พบสิ่งที่ทำให้ประหลาดใจอย่างที่เคยเป็น
วันที่ 251 เธอนำกระถางมารับแสงแดดอ่อนๆตอนเช้าด้วยใจที่เบิกบานและเต็มไปด้วยความหวัง
วันที่ 252 เธอใส่ปุ๋ยและพรวนดินให้ต้นไม้ มีลูกไก่ที่ผูกริบบิ้นสีแดงและปลาทองในโหลอยู่ใกล้ๆ
วันที่ 300 การเอาใจใส่ ดูแลอย่างใกล้ชิดของเธอทำให้ต้นไม้กลับมาออกใบเขียวชอุ่ม..และที่น่าประหลาดใจคือ เมล็ดพืชกลายเป็นดอกสีแดงเล็กๆรูปร่างคล้ายหัวใจ... เด็กหญิงตื่นเต้นดีใจกว่าทุกครั้ง
วันที่ 340 เธอร้องเพลงและพูดคุยกับดอกไม้สีแดงนั้นทุกเวลาที่ว่าง เธอรู้สึกมีความสุขมาก..ที่ได้คอยเอาใจใส่โดยไม่ได้สนใจว่ามันจะกลายเป็นอะไรต่อไป..เด็กหญิงไม่คาดหวังให้ดอกไม้กลายเป็นสิ่งใด เธอเพียงทะนุถนอมและดูแลมันอย่างดีที่สุด
วันที่ 365 เด็กหญิงนั่งอยู่ริมหน้าต่าง กระถางตรงหน้าเธอไม่มีดอกไม้สีแดงรูปหัวใจอีกแล้ว ดอกไม้ที่เธอเฝ้าดูแลหายไป
แต่เธอไม่เศร้า ไม่เสียใจ ไม่ร้องไห้ เพราะมีเด็กผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ริมหน้าต่าง เขาสามารถพูดคุยกับเธอ ยิ้มให้เธอ ไปทุกที่กับเธอ เข้าใจเธอ และเธอก็ไม่เคยเหงาอีกเลย
เด็กผู้หญิงใช้เวลา 1 ปี ในการเรียนรู้เรื่องความรัก และในที่สุดเธอเรียนรู้ว่า
1. ต้นไม้แห่งความรัก หากรดน้ำ พรวนดิน ให้แสงแดดที่จัด และดูแลต้นไม้มากจนเกินไปไม่ได้แปลว่ามันจะเจริญเติบโต แต่มันอาจกลายเป็นสิ่งที่เธอคิดไม่ถึง อาจดูน่าสนใจแต่สิ่งที่ได้มานั้นจะนำมาซึ่งความผิดหวัง เสียใจก็เป็นได้
2. การที่เราคาดหวังกับความรักมากเท่าไรเมื่อไม่เป็นอย่างที่หวังเราจะยิ่งเจ็บปวดมากเท่านั้น และถึงแม้เราจะยอมรับที่จะสูญเสียแต่ก็ไม่มีทางหนีจากความเจ็บปวดได้
3. ช่วงแห่งการดูใจกันหากจะรักใคร จงปลดปล่อย "คนที่รัก" ให้เป็นอิสระ หากรักนั้นย้อนกลับมา รักนั้นก็คือของเราและจะเป็นของเราตลอดไป หากรักนั้นมิได้กลับมา รักนั้นก็มิได้เป็นของเราตั้งแต่แรก
4. การเอาใจใส่กันเป็นสิ่งที่ช่วยหล่อเลี้ยงให้ความรักคงอยู่ต่อไป
5. ไม่มีคำว่าสาย สำหรับความรักแท้ เพราะ “รัก” เริ่มต้นใหม่ได้ด้วย
การรู้จักให้อภัย รู้จักลืมสิ่งที่เคยผิดพลาดระหว่างกัน
การรู้จักขอโทษ และไม่พยายามทำผิดอีก
ความอดกลั้น อดทน ซึ่งถือเป็นความรับผิดชอบซึ่งกันและกัน
ความเข้าใจซึ่งกันและกัน แล้วปรับความเข้าใจใหม่อยู่เสมอ
ความไว้วางใจกัน ต่างต้องรู้จักเคารพในสิทธิส่วนบุคคลของกันและกัน จงยืนอยู่ด้วยกัน แต่ว่าอย่าใกล้กันนัก เพราะว่า ต้นไม้ใดๆ ก็ไม่อาจเติบโตใต้ร่มเงาของกันได้
ความเสียสละ ไม่ยึดติด ไม่เรียกร้อง และปราศจากเงื่อนไข
คุณล่ะ......ใช้เวลาเท่าไรในการทำความรู้จักและพยายามเข้าใจในคำว่า "รัก"..... และคำว่า "รัก"ของคุณเป็นเช่นไร
วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550
Loy Krathong
“Loi” means “to float”. “Krathong” is a raft about a handspan in diameter traditionally made from a section of banana tree trunk (although modern-day versions often use styrofoam), decorated with elaborately-folded banana leaves, flowers, candles, incense sticks etc. During the night of the full moon, many people will release a small raft like this on a river. Governmental offices, corporations and other organizations also build much bigger and more elaborate rafts, and these are often judged in contests. In addition, fireworks and beauty contests take place during the festival.
Letting go of Loy Krathong rafts
The festival probably originated in India as a Hindu festival similar to Divali as thanksgiving to the deity of the Ganges with floating lanterns for giving life throughout the year.
According to the writings of H.M. King Rama IV in 1863, the originally Brahmanical festival was adapted by Buddhists in Thailand as a ceremony to honour the Lord Buddha. Apart from venerating the Buddha with light (the candle on the raft), the act of floating away the candle raft is symbolic of letting go of all one's grudges, anger and defilements, so that one can start life afresh on a better foot. People will also cut their fingernails and hair and add them to the raft as a symbol of letting go of the bad parts of oneself. Many Thai believe that floating a krathong will create good luck, and they do it to honor and thank the Goddess of Water, Phra Mae Khongkha.
The beauty contests that accompany the festival are known as "Noppamas Queen Contests". According to legend, Noppamas was a consort of the Sukothai king Loethai (14th century) and she was the first to float decorated krathongs.
The Thai tradition of Loy Kratong started off in Sukhothai, but is now celebrated throughout Thailand, with the festivities in Chiang Mai and Ayutthaya being particularly well known.
D O R A E M O N
โฮเนะคาวะ ซูเนโอะ มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นคือ ปากแหลม เขาชอบคุยโวให้เพื่อน ๆ ฟังเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของเขาถึงฐานะทางบ้าน และซูเนโอะยังเป็นผู้รอบรู้ในเรื่องต่าง ๆ อย่างละเอียดอีกด้วย เขาได้ทุกสิ่งที่เพื่อนๆ กำลังอยากได้อย่างยากเย็น ในขณะที่เขาจะมีทุกอย่างอยู่แล้วเพราะเขาเป็นเด็กชายที่จะเรียกว่าคุณชายเลยทีเดียว และมักเอาของเล่นแพง ๆ มาอวดเพื่อนและสุดท้ายก็โดนไจแอนท์แย่งไปทุกครั้ง ซูเนโอะเป็นเพื่อนสนิทกับไจแอนท์ และชอบรังแกโนบิตะ ซูเนโอะยังคอยเป่าหูไจแอนท์ให้รังแกโนบิตะเสมอ และยังแอบหลงรักชิซูกะอีกด้วย แต่ซูเนโอะก็มีนิสัยดีอยู่บ้าง
เด็กผู้ชายตัวอ้วน และแข็งแรง ชอบแกล้งโนบิตะแต่เมื่อถึงเวลาคับขันก็จะช่วยคนอื่น ชื่อจริงชื่อทาเคชิ มีน้องสาวหนึ่งคนรักน้องสาวมาก กลัวแม่เป็นที่หนึ่ง มักจะทำคะแนนสอบไม่ค่อยดี แต่ก็ไม่เท่าโนบิตะ ไจแอนท์ไม่ค่อยชอบซูเนโอะและโนบิตะ ที่มักจะมีของเล่นแปลกๆอยู่เสมอ ชอบการร้องเพลงเป็นชีวิตจิตใจ เขามักจะ บังคับให้เพื่อนๆไปดูคอนเสิร์ตของเขาเสมอ แต่ร้องไม่เอาไหน จนคนที่ฟังอยู่ต้องคอยอุดหูไว้ตลอด มีความฝันว่า โตขึ้นจะต้องเป็นนักร้องเหมือนพี่เบิร์ด-ธงไชย
Happy Birthday
วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550
หวัดดีจ้า......
Le vin
En Europe, selon la définition légale, le vin est le produit obtenu exclusivement par la fermentation alcoolique, totale ou partielle, de raisins frais, foulés ou non, ou de moûts de raisins[1].
La transformation du raisin en vin est appelée la vinification. L'étude du vin est l'œnologie (du grec œno = vin et logie = science).
Le secteur viticole se sépare en deux professions : les vignerons indépendants (représentés en France par les Vignerons Indépendants de France) qui assurent la production de leur vin, du cep de vigne à la mise en bouteille, en passant par la vinification et qui constitue la branche artisanale, et les vignerons coopérateurs qui n'effectuent pas la vinification
Histoire et origine
On admet généralement que le vin existe depuis plusieurs millénaires, on a trouvé des jarres anciennes de plus de 8 000 ans av J.C. contenant des pépins de raisins cultivés et de résidus d'acide tartrique. On ne sait actuellement pas si ce produit était réellement du vin ou simplement du jus de raisin.
Après l'Iran, on aurait retrouvé au nord de la Chine des traces datant de 7 000 ans av J.C. d'une boisson fermentée sur de la poterie.
Le roi Salomon l'a célébré, mais ce sont certainement les Grecs qui ont contribué au développement de la viticulture sur le pourtour de la Méditerranée. En effet, ils ont longtemps fait du commerce dans tous les pays méditerranéens. Ce sont eux qui ont importé les premiers vins en France en arrivant par le port de Marseille. À cette époque, le vin était composé de moût de raisin partiellement fermenté auquel on ajoutait de l'eau de mer pour sa conservation durant le transport, à l'arrivée on ajoutait de l'eau douce pour enlever le goût du sel.
Dans l'Égypte ancienne, on sait que la viticulture était très organisée. Osiris en Égypte, Dionysos en Grèce, Bacchus chez les Romains, Gilgamesh à Babylone représentent le vin ou sa quête dans la mythologie. Le vin symbolise aussi le sang du Christ dans la religion chrétienne. Le vin a évolué énormément durant les précédents millénaires. Les Romains avaient des vins très épicés qu'ils allongeaient à l'eau de mer. Ils ne correspondraient pas du tout aux goûts actuels.
Au XIXe siècle, le vin est considéré comme une boisson énergétique, par exemple, un faucheur en boit 6 à 8 litres par jour ! Le vin constituait une partie de sa rémunération, à une époque où l'eau n'était pas toujours vraiment potable.
Constitution et fabrication du vin
Le vin, tel qu'il est entendu généralement, est le produit d'une plante (la vigne) et d'une seule variété de raisin (vinifera). Il est par exemple quasi impossible de vinifier des raisins venant d'autres souches.
Il existe aussi des produits auxquels - par analogie - on donne le nom de « vin » : comme le saké au Japon (« vin de riz ») ou le vin de palme.
Il est essentiellement une solution d'alcool dans l'eau, qui contient également un grand nombre de composés chimiques volatils ou non, en solution ou en suspension. La teneur en alcool est généralement comprise entre 10% et 15% en moyenne pour sa version non renforcée pour une teneur en eau de l'ordre de 85 %.
L'alcool est principalement de l'éthanol mais on y trouve aussi du glycérol, du sorbitol, du butylèneglycol.
Le vin comprend aussi :
des sucres : glucose, fructose dont le dosage varie de 1 à 2 g/L dans les vins secs jusqu'à 50 à 60 g/L dans les vins doux pour lesquels la fermentation alcoolique a été incomplète ;
des acides : malique, citrique, tartrique, acétique, lactique, succinique, oxalique, borique, phosphorique, phénolique, 7 acides benzoïques, 3 acides cinnamiques. Le PH du vin varie de 3 à 4 ;
des composés phénoliques : tanins, anthocyanes qui, dans le vin rouge, qui sont des antioxydants.