วันพุธที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

ข้อคิดจากไอสไตน์



ในห้องเรียนวันหนึ่ง ไอสไตน์ถามนักเรียนว่า " มีคนซ่อมปล่องไฟสองคน กําลังซ่อมปล่องไฟเก่า
พอพวกเขาออกมาจากปล่องไฟ ปรากฏว่า คนหนึ่งตัวสะอาด อีกคนคัวเลอะเทอะ เต็มไปด้วยเขม่า ขอถามหน่อยว่า
คนไหนจะไปอาบน้ำก่อน "
นักเรียนคนหนึ่งตอบว่า " ก็ต้องคนที่ตัวสกปรกเลอะเขม่าควันสิครับ "
ไอสไตน์ พูดว่า " งั้นเหรอ คุณลองคิดดูให้ดีนะ คนที่ตัวสะอาด เห็นอีกคนที่ตัวสกปรกเต็มไปด้วยเขม่าควัน
เขาก็ต้องคิดว่าตัวเองออกมาจากปล่องไฟเก่าเหมือนกัน ตัวเขาเองก็ต้องสกปรกเหมือนกันแน่ๆเลย ส่วนอีกคน
เห็นฝ่ายตรงข้ามตัวสะอาด ก็ต้องคิดว่าตัวเองก็สะอาดเหมือนกัน ตอนนี้ ผมขอถามพวกคุณอีกครั้งว่า
ใครที่จะไป อาบน้ำก่อนกันแน่ "
นักเรียนคนหนึ่งพูดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นว่า " อ้อ ! ผมรู้แล้ว พอคนตัวสะอาดเห็นอีกคนสกปรก
ก็นึกว่าตัวเองต้องสกปรกแน่ แต่คนที่ตัวสกปรก เห็นอีกคนสะอาด ก็นึกว่าตัวเองไม่สกปรกเลย
ดังนั้นคนที่ตัวสะอาดต้องวิ่งไปอาบน้ำก่อนแน่เลย ..... ถูกไหมครับ...."
ไอสไตน์มองไปที่นักเรียนทุกคน นักเรียนทุกคนต่างเห็นด้วยกับคําตอบนี้
ไอสไตน์ ค่อยๆพูดขึ้นอย่างมีหลักการและเหตุผล
" คําตอบนี้ก็ผิด ทั้งสองคนออกมาจากปล่องไฟเก่าเหมือนกัน จะเป็นไปได้ไงที่คนหนึ่งสะอาด อีกคนหนึ่งจะสกปรก
นี่แหละที่เขาเรียกว่า " ตรรก "
" เมื่อความคิดของคนเราถูกชักนําจนสะดุด ก็จะไม่สามารถแยกแยะและหาเหตุผล แห่งเรื่องราว
ที่แท้จริงออกมาได้ นั่นคือ " ตรรก "
จะหาตรรกได้ก็ต้อง กระโดดออกมาจาก " พันธนาการของความเคยชิน " หลบเลี่ยงจาก
" กับดักทางความคิด " หลีกหนีจาก " สิ่งที่ทําให้หลงทางจากความรู้จริง "
ขจัด " ทิฐิแห่งกมลสันดาน "
จะหา ตรรก ได้ก็ต่อเมื่อ คุณสลัด...กทั้งหมดที่คนเขาจัดฉาก วางล่อคุณไว้

วันจันทร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

ร้องไห้เพราะใคร...




เชื่อว่า ทุกคนต้องร้องไห้ให้กับเรื่อง เพื่อน และ แฟน
มากันนับครั้งไม่ถ้วนแล้วใช่มั้ยคะ
ไม่ผิดหรอกนะคะ ที่คุณจะระบายความทุกข์ออกมาทางสายน้ำตา
แต่ถ้าบ่อยครั้งนักมันจะทำให้จิตใจของคุณทรุดโทรมลง
อย่าให้การร้องไห้เป็นหนทางเดียวที่คุณจะกำจัดความทุกข์เลยนะคะ


คำว่า "ร้องไห้" บางทีฟังเป็นเรื่องหนักเหลือเกินนะคะ
ร้องไห้ไปกับความรู้สึกว่า เหนื่อย เจ็บ ทุกข์ ไม่ไหวแล้วจริงๆ..
แต่ถ้าจะให้กล้ำกลืนฝืนไว้ในลำคอ มันคงเป็นอะไรที่ลำบากมาก..


ทุกครั้งที่ร้องไห้ ถามตัวเองว่านี่ที่เรากำลังร้องไห้อยู่เพราะอะไร
ในใจก็คิดหาเหตุไปต่างๆนาๆ
ทีแรกก็คิดโทษคนนู้นโทษคนนี้
แต่สุดท้ายก็จบลงด้วยการโทษตัวเอง
ถ้าใจเราไม่คิดแบบนั้น เราก็คงไม่ทำให้ตัวเองเศร้าเสียใจได้ถึงเพียงนี้


การที่ทุ่มเททำอะไรให้ใครสักคนหนึ่ง
แล้วไปหวังว่าจะได้สิ่งดีๆ มอบกลับมา
บางทีคุณอาจจะเชื่อมากเกินไปว่า
"หากจะได้ความรัก ต้องมอบความรักก่อน"
ไม่จริงเสมอไปหรอกนะคะ


เพราะฉะนั้นการที่ทุ่มเทเพื่อใครสักคน
จงอย่าได้ทุ่มเทถึงขั้นพลีกายถวายชีพให้เขาได้
อย่าไปคิดว่าการที่ทำอย่างนั้นเขาจะทำแบบนั้นให้เราบ้าง
เราควรจะเผื่อใจไว้สักหน่อย
เผื่อว่าถ้าเขาไม่เข้าใจในสิ่งที่เราทำให้เขา
เขาก็คงไม่มีความรู้สึกดีๆ ตอบกลับมาหาเราหรอกค่ะ


อย่าให้คนอื่นมีอิทธิพลต่อจิตใจอันบอบบางของคุณมากเกินไป
ซึ่งผลเสียมันเกิดกับคุณ ไม่ใช่เขา


รักตัวเองให้มากกว่ารักคนอื่น
เพราะหากเราไม่รู้จักรักตัวเอง เราจะให้ใครมารักละคะ..


ก็เข้าใจว่า บางทีคุณอาจจะรู้สึกว่าแคร์คนอื่นมาก
แคร์ความรู้สึก เป็นห่วงเป็นไย ...
แต่บางทีเขามองไม่เห็นและไม่เข้าใจคุณนะคะ


เผื่อใจไว้หน่อยเถอะค่ะ อย่าไปทุ่มเทให้มาก คนที่เจ็บคือคุณคนเดียว อย่าทำให้ตัวเองต้องร้องไห้เพราะตัวคุณเองอีกเลยนะคะ

วันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

Séisme du Sichuan de mai 2008

Le séisme du Sichuan du 12 mai 2008 est un séisme qui a affecté principalement la Chine et dont les secousses ont toutefois été ressenties en Thaïlande, au Vietnam et à Taïwan. L’épicentre est localisé dans le district de Wenchuan (province du Sichuan de la République populaire de Chine). Ce séisme a débuté à 14:28:04 heure locale (06:28:04 UTC)[5], avec une magnitude Mw 7,9[6].


Détails

Le séisme s'est produit sous la chaîne du Lungmen Shan à la bordure est du plateau du Tibet, dans le district de Wenchuan[7]. L'hypocentre est situé aux coordonnées 31° 05′ 57″ N 103° 16′ 45″ E / 31.0992, 103.2791, à 19 km de profondeur[6], dans la préfecture de Ngawa, à 90 km de Chengdu (province chinoise du Sichuan) avec sa secousse principale se produisant le 12 mai 2008 à 14:28:04 heure locale (06:28:04 GMT). Les premiers bulletins d'informations concernant la magnitude du séisme la situaient entre 7,6 et 8 sur l'échelle de Richter.

Des employés de bureau à Chengdu, ville importante la plus proche de l'épicentre, ainsi que de nombreuses personnes à l'extérieur, ont signalé deux à trois minutes de secousses continues. Le tremblement de terre a été perçu jusqu'à Pékin, Shanghai et au large de Taïwan, où les immeubles de bureaux se balançaient avec la secousse, et dans la capitale du Vietnam, Hanoï.

L'agence de presse Chine Nouvelle annonce, le 14 mai, un nombre de victimes à 30 000[8]. La gravité des conséquences du séisme sont effectivement lourdes en vies : 50 000 morts sont provisoirement annoncées le 15 mai dans le sud-ouest de la Chine[9].

Cyclone Nargis

Le cyclone Nargis est le premier cyclone à avoir frappé la Birmanie depuis le cyclone Mala en 2006. Il s'est formé le 27 avril 2008 au centre du golfe du Bengale, au nord de l'océan Indien. Après une trajectoire initiale vers le nord-ouest, il a tourné vers le nord-est puis l'est, en se dirigeant vers la côte sud-ouest de la Birmanie qu'il a frappé le 2 mai vers 12 heures TU, soit tard en soirée localement[4]. Avec des vents oscillant entre 190 et 240 km/h, une onde de tempête de plus de trois mètres et des pluies diluviennes, il a fait des dégâts énormes dans la région du golfe de Martaban. Nargis est passé juste au nord de Yangon (Rangoon), la capitale économique, alors que ses vents soufflaient toujours à 130 km/h[5], avant de perdre sa force dans les montagnes à la frontière de la Birmanie et de la Thaïlande, tôt le 3 mai.

Le service météorologique indien, dans son mandat de centre météorologique régional spécialisé de l'Organisation météorologique mondiale a nommé ce cyclone à partir de la liste des noms prévus le 28 avril. Nargis (نرگس, [næɵr.ɡɵs]), avait été suggéré par le Pakistan lors de la confection de ces listes. Ce mot vient du persan, à travers l'ourdou, pour la fleur de narcisse[6]. Le Joint Typhoon Warning Center, chargé de la prévision pour les bases et la flotte américaine dans les océans Indien et Pacifique, a quant à lui donné le nom de cyclone tropical 01B à ce système le 27 avril.

เรื่องดีๆ ระหว่างพ่อกับลูก


ชายหนุ่มเลิกงานและกลับเข้าบ้านช้า
ด้วยความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า และพบว่าลูกชาย
วัย 5 ขวบรอคุณพ่ออยู่ที่หน้าประตู

ลูก" พ่อครับ พ่อผมมีคำถามถามพ่อข้อนึง "
พ่อ" ว่ามาซิลูก อะไรเหรอ? "
ลูก" พ่อทำงานได้เงินชั่วโมงละเท่าไรครับ? "
พ่อตอบด้วยความโมโห " ไม่ใช่กงการอะไรของลูกนี่ ทำไมถามอย่างนี้ล่ะ?"
ลูกพูดร้องขอ " ผมอยากรู้จริงๆโปรดบอกผมเถอะ พ่อทำงานได้เงินชั่วโมงละเท่าไรครับ? "
พ่อ " ถ้าจำเป็นจะต้องรู้ล่ะก็ พ่อได้ชั่วโมงละ 20 เหรียญ "
ลุก " โอโห....." ลูกอุทาน แล้วคอตก
จึงพูดกับพ่ออีกครั้ง "พ่อครับ ผมอยากขอยืมเงิน 10 เหรียญ "
พ่อกล่าวด้วยอารมณ์ "นี่เป็นเหตุที่แกถาม เพื่อจะขอเงินแล้วไปซื้อของเล่นโง่ๆ
หรืออะไรไม่เข้าท่าหรอกเหรอ รีบขึ้นไปนอนเลยนะแล้วลองคิดดูว่า
แกน่ะ เห็นแก่ตัวมาก ฉันทำงานหนักหลายๆ ชั่วโมงทุกวัน
และไม่มีเวลาสำหรับเรื่องเด็กๆไร้สาระหรอก "

เด็กน้อยเงียบลง เดินไปที่ห้องแล้วปิดประตู
ชายหนุ่มนั่งลงและยังโกรธอยู่ กับคำถามของลูกชาย
เค้ากล้าที่จะถามคำถามนั้น เพื่อจะขอเงินอย่างไร
หลังจากนั้นเกือบชั่วโมงอารมณ์ชายหนุ่มก็เริ่มสงบลง
และเริ่มคิดถึงสิ่งที่ทำลงไปกับลูกชายตัวน้อย
บางทีเขาอาจจำเป็นต้องใช้เงิน 10 เหรียญนั้นจริงๆ
และลูกก็ไม่ได้ขอเงินเขาบ่อยนัก ชายหนุ่มจึงเดินไปบนห้องแล้วเปิดประตู

พ่อ " หลับหรือยังลูก? "
ลูก " ยังครับ "
พ่อ " พ่อมาคิดดู เมื่อกี้พ่ออาจทำรุนแรงกับลูกเกินไป
นานแล้วนะที่พ่อไม่ได้คลุกคลีกับลูก เอ้า นี่เงิน 10 เหรียญ ที่ลูกขอ "
เด็กน้อยลุกขึ้นนั่ง " ขอบคุณครับพ่อ "

ว่าแล้วก็ล้วงลงไปใต้หมอนหยิบเงินจำนวนหนึ่งออกมาแล้วนับช้าๆ
ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็โกรธขึ้นอีกครั้ง

พ่อ " ก็มีเงินแล้วนี่ แล้วมาขออีกทำไม? "
ลูก " เพราะผมมีไม่พอครับ แต่ตอนนี้ผมมีครบแล้ว
พ่อครับ ตอนนี้ผมมีเงินครบ 20 เหรียญแล้ว
ผมขอซื้อเวลาพ่อชั่วโมงนึง.....พรุ่งนี้พ่อกลับบ้านเร็วๆ นะครับ
ผมอยากกินข้าวเย็นกับพ่อ"

"นะ ครับ พ่อครับ?.....พ่อ............."

วันศุกร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

เปิดเรียนแล้ว...

วันนี้เปิดเรียนวันแรกก็ได้กลับบ้านเร็ว อาจารย์ที่โรงเรียนมีประชุม วันนี้ได้ทำความสะอาดห้อง แล้วก็ได้เลือกให้เป็นหัวหน้าห้อง(จะรอดมั้ยเนี่ย)

Molière

Jean-Baptiste Poquelin, dit Molière, baptisé le 15 janvier 1622[1] et mort le 17 février 1673, est un dramaturge et acteur de théâtre français.

Considéré comme le « patron » de la Comédie-Française, il en est toujours l'auteur le plus joué. Impitoyable pour le pédantisme des faux savants, le mensonge des médecins ignorants, la prétention des bourgeois enrichis, Molière aime la jeunesse qu'il veut libérer des contraintes absurdes. Très loin des rigueurs de la dévotion ou de l'ascétisme, son rôle de moraliste s'arrête là où il l'a défini : « Je ne sais s'il n'est pas mieux de travailler à rectifier et à adoucir les passions des hommes que de vouloir les retrancher entièrement »[2], et son but a d'abord été de « faire rire les honnêtes gens »[3]. Il fait donc sienne cette devise qui apparaît sur les tréteaux italiens dès les années 1620 en France, au sujet de la comédie : Castigat ridendo mores – En riant, elle châtie les moeurs.

Pris de convulsions au cours de la quatrième représentation du Malade imaginaire, Molière expire quelques heures plus tard d'une congestion pulmonaire, le 17 février 1673, chez lui et non pas en jouant cette pièce — comme le veut la tradition —, sans avoir abjuré la profession de comédien, considérée comme immorale par l’Église.



Dans le registre qu'il tient scrupuleusement, La Grange écrit ce jour :

« Ce mesme jour après la Comédie sur les 10 heures du soir Monsieur de Molière mourust dans sa maison Rue de Richelieu, ayant joué le rosle dudit malade imaginaire fort incommodé d'un rhume de fluction sur la poitrine qui luy causoit une grande toux de sorte que dans les grans efforts qu'il fist pour cracher il se rompit une veyne dans le corps et ne vescut pas demye heure ou trois quarts d'heure depuis ladite veyne rompue. Son corps est enterré à St Joseph, ayde de la parroisse St Eustache. Il y a une tombe eslevée d'un pied hors de terre ».


Trente-deux ans plus tard, Grimarest, le premier biographe de Molière, détaille les circonstances de sa mort, sans y avoir toutefois assisté (il avait 15 ans lors du décès de Molière) :

« Les Comédiens tinrent les lustres allumez[5], et la toile levée, précisément à quatre heures. Molière représenta avec beaucoup de difficulté ; et la moitié des spectateurs s'aperçurent qu'en prononçant Juro, dans la cérémonie du Malade Imaginaire, il lui prit une convulsion. Aïant remarqué lui-même que l'on s'en étoit aperçu, il se fit un effort, et cacha par un ris forcé ce qui venoit de lui arriver. Quand la pièce fut finie il prit sa robe de chambre, et fut dans la loge de Baron, et lui demanda ce que l'on disoit de sa pièce. Mr Baron lui répondit que ses ouvrages avoient toujours une heureuse réussite à les examiner de près, et que plus on les représentoit, plus on les goûtoit. “Mais”, ajouta-t-il, “vous me paroissez plus mal que tantôt”. “Cela est vrai”, lui répondit Molière, “j'ai un froid qui me tue”. Baron après lui avoir touché les mains, qu'il trouva glacées, les lui mit dans son manchon, pour les réchauffer ; il envoya chercher ses porteurs pour le porter promptement chez lui ; et il ne quitta point sa chaise, de peur qu'il ne lui arrivât quelque accident du Palais Royal dans la rue de Richelieu, où il logeoit [...]. Un instant après il lui prit une toux extrémement forte, et après avoir craché il demanda de la lumière. Baron aïant vu le sang qu'il venoit de rendre, s'écria avec frayeur. “Ne vous épouvantez point”, lui dit Molière, “vous m'en avez vu rendre bien davantage. Cependant”, ajouta-t-il, “allez dire à ma femme qu'elle monte”. Il resta assisté de deux sœurs religieuses, de celles qui viennent ordinairement à Paris quêter pendant le Carême, et auxquelles il donnoit l'hospitalité. Elles lui donnèrent à ce dernier moment de sa vie tout le secours édifiant que l'on pouvoit attendre de leur charité, et il fit paroître tous les sentimens d'un bon Chrétien, et toute la résignation qu'il devoit à la volonté du Seigneur. Enfin il rendit l'esprit entre les bras de ces deux bonnes sœurs ; le sang qui sortoit par sa bouche en abondance l'étouffa. Ainsi quand sa femme et Baron remontèrent, ils le trouvèrent mort. J'ai cru que je devois entrer dans le détail de la mort de Molière, pour désabuser le public de plusieurs histoires que l'on a faites à cette occasion.

« Aussi-tôt que Molière fut mort, Baron fut à Saint Germain en informer le Roi ; Sa Majesté en fut touchée, et daigna le témoigner [...]. Tout le monde sait les difficultez que l'on eut à faire enterrer Molière, comme un Chrétien Catholique ; et comment on obtint en considération de son mérite et de la droiture de ses sentimens, dont on fit des informations, qu'il fût inhumé à Saint Joseph. Le jour qu'on le porta en terre il s'amassa une foule incroyable de peuple devant sa porte [...]. Le convoi se fit tranquillement à la clarté de près de cent flambeaux, le mardi vingt un de février ».

Vesak

Vesak (Sinhalese: ) is an annual holiday observed by practicing Buddhists. In Indian Mahayana Buddhist traditions, the holiday is known by its Sanskrit equivalent, Baisākh The word Vesak itself is the Sinhalese language word for the Pali variation, "Visakha". Vaishākha is the name of the second month of the lunar Hindu calendar. Vesak is also known as Visakh Bochea in Cambodia,Visakah Puja, Buddha Purnima or Buddha Jayanti in India, Bangladesh and Nepal, Visakha Bucha in Thailand, Phật Đản in Vietnam, Waisak in Indonesia, Vesak (Wesak) in Sri Lanka and Malaysia, 佛誕 (fó dàn) in Chinese-speaking countries, and Saga Dawa in Tibet. The equivalent festival in Laos is called Vixakha Bouxa and in Myanmar is called Ka-sone-la-pyae meaning Fullmoon Day of Kasone which is also the second month of the Myanmar Calendar. Vesak is a public holiday in many Asian countries like Cambodia, Sri Lanka, Malaysia, Myanmar, Thailand, Singapore, Vietnam, and also Indonesia, Hong Kong, and Taiwan.

The exact date of Vesak varies according to the various lunar calendars used in different traditions. In Theravada countries following the Buddhist calendar, it falls on the full moon Uposatha day (typically the 5th or 6th lunar month). In China it is the fourth month in the Chinese lunar calendar, coinciding with the first full moon of that month. The date varies from year to year in the Western Gregorian calendar but falls in April or May.

Sometimes informally called "Buddha's birthday," it actually encompasses the birth, enlightenment Nirvana, and passing (Parinirvana) of Gautama Buddha.

The decision to agree to celebrate Vesak as the Buddha’s birthday was formalized at the first Conference of the World Fellowship of Buddhists held in Sri Lanka in 1950, although festivals at this time in the Buddhist world are a centuries-old tradition. The Resolution that was adopted at the World Conference reads as follows:

That this Conference of the World Fellowship of Buddhists, while recording its appreciation of the gracious act of His Majesty, the Maharaja of Nepal in making the full-moon day of Vesak a Public Holiday in Nepal, earnestly requests the Heads of Governments of all countries in which large or small number of Buddhists are to be found, to take steps to make the full-moon day in the month of May a Public Holiday in honour of the Buddha, who is universally acclaimed as one of the greatest benefactors of Humanity.
On Vesak Day, Buddhists all over the world commemorate events of significance to Buddhists of all traditions: The birth, enlightenment and the passing away of Gautama Buddha. As Buddhism spread from India it was assimilated into many foreign cultures, and consequently Vesak is celebrated in many different ways all over the world.