วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2550

อ่านดูนะ




กฎ 25 ข้อขำ..ขำ ในมิวสิกวีดีโอ


1 ฝนจะไม่ขึ้นกับฤดูกาล แต่จะตกก็ต่อเมื่อมีใครซักคนอกหัก

2 พระเอกกับนางเอกเป็นสิ่งมีชีวิตที่ค่อนข้างรู้อะไรๆ น้อย มักมองข้ามความดีของคนที่มาแอบรักเสมอ

3 ใครก็ตามในนั้นที่อกหัก ต้องมีอย่างน้อย 1 ครั้งที่ไปแอบเห็นคนที่ตัวเองรักจู๋จี๋กับคนอื่นโดยซึ่งๆ หน้า หรือไม่ก็มีมุมตึกบัง หรือไม่ก็มองจากนอกหน้าต่าง (ซึ่งอาจมีฝนนอกฤดูมาอีกแล้วค่ะท่าน) - มันเป็นไปไม่ได้เลยในมิวสิค ที่จะมีใครซักคนเอาข่าวมาบอก ต้องเห็นเองกับตาเท่านั้นค่ะ

4 ถ้ามีสัตว์เลี้ยงของพระเอก มันมักจะเป็น Dalmatian แต่สัตว์เลี้ยงของนางเอก จะเป็นสุนัขที่มีขนาดเล็กกว่า หรือไม่ก็แมว แต่ต้องมีขนปุยๆเสมอ

5 ถ้านางเอกมีตุ๊กตาเล่นในห้องนอน มากกว่าร้อยละ 50 ต้องเป็นตุ๊กตาหมี

6 จะต้องมีลมพัดจนผมปลิวอย่างน้อยหนึ่งครั้งเสมอในเพลงอกหัก และผมไม่เคยปลิวยุ่งจนมาบังหน้า ลมจะต้องพัดโดยมีทิศทางจากหน้าไปหลังของเราอย่างแน่นอน

7 ในกรณีที่ตัวนักร้องไม่อกหักเอง แต่มีคนอื่นอกหัก (เนื่องจากไม่หล่อ หรือหน้าตาดีน้อยเกินไป หรืออื่นๆ) นักร้องจะต้องทำตัวเป็นตัวเจ๋อ คอยมายืนร้องเพลงอยู่คนเดียวข้างๆ หรือในห้องถัดไป ในสภาวะที่คนทั่วไปเค้าไม่ทำกันค่ะ....เอาไว้ช่วงดนตรี solo แล้วค่อยไปปลอบ ว่างั้น....

8ตัวละครในมิวสิคจะไม่ใช้รถยอดนิยมอย่างซีวิค โคโรลล่า ซันนี่ เด็ดขาด เนื่องจากเค้าเป็นคนส่วนน้อยที่มีฐานะของสังคม จึงมีแนวโน้มที่จะใช้รถราคาแพงกว่านั้น (ราคาควรมากกว่า 1 .8 ล้านขึ้นไป)

9แต่ถ้าตัวละครไม่รวย เค้าจะเลือกใช้รถที่เก่ากว่า แต่หาได้ไม่ยากนัก เช่น รถเต่า เป็นต้น (ไม่มีทางขับโคโรลล่าค่ะ ขอร้อง....)

10 ถ้านางเอกหรือพระเอกอกหักเนื่องจากมีมือที่สามมาแย่งไป มือที่สามจะต้องรวยกว่า และใช้รถราคาไม่ต่ำกว่า 6 ล้าน - โปรดสังเกตความแตกต่างของราคารถค่ะ 1

11ถ้าคิดฉากอะไรให้เข้ากับเนื้อเพลงไม่ออก ให้ทำอย่างนี้ ให้นางเอกกับพระเอกไปเดินตามรางรถไฟโดยไม่ทราบสาเหตุ ตัดภาพบ่อยๆ เข้าไว้ ให้นางเอกกับพระเอกไปเดินตามถนน โดยไม่ทราบสาเหตุ ตัดภาพบ่อยๆ เข้าไว้เหมือนกัน ให้นักร้องไปยืนร้องในทุ่งที่มีหญ้าสูงประมาณไม่เกิน 2 ฟุต (หรืออาจพิจารณาไร่ดอกทานตะวัน สวนส้ม เป็น option)

12 ไม่ว่าใครจะอกหักหรือชีวิตรันทดกินไม่ได้นอนไม่หลับอย่างไร บนโต๊ะต้องมีแจกันที่มีดอกไม้พร้อมตลอด 24 ชั่วโมง

13 ถ้ามีฉากที่ต้องเล่นดนตรีทั้งวงเครื่องดนตรีครบ ห้ามนักดนตรียิ้ม

14 แดนเซอร์ ถ้าเป็นเพลงเต้น กรุณาหาคนที่มีผิวคล้ำหน่อยมาเต้น ถ้าเป็นลูกครึ่งผิวดำเลยจะเยี่ยมมาก ถ้าเป็นเพลงลูกทุ่ง หาใครก็ได้ เต้นพร้อมไม่พร้อมไม่เป็นไร แต่ให้ชุดโป๊ๆ เว่อร์ๆ หน่อยนะโยม....

15 ในมิวสิคจะไม่มีฤดูร้อน หากสังเกตจากการแต่งกาย ในเพลงแดนซ์จะเป็นฤดูหนาว (ฮู้ด เสื้อกันฝน เสื้อแขนยาว กางเกงสี่ส่วน) ในเพลงอกหักจะเป็นฤดูฝน และในเพลงรักจะเป็นฤดูใบไม้ผลิ

16 นางเอกมิวสิค มีแนวโน้มที่จะผมยาวและปล่อยผม

17 ถ้าคุณได้เป็นนางเอกมิวสิค ไม่ต้องห่วงเรื่องการแต่งหน้า เพราะมันจะอยู่ติดตราตรึงอยู่บนหน้าของคุณ ตั้งแต่เช้า เข้านอน บนเตียง (ตอนที่นอนคิดถึงเค้าคนนั้นไง) จนกระทั่งเช้าอีกวันหนึ่ง

18 ห้ามเข้าห้องน้ำในมิวสิควีดิโอ หรือถ้าจำเป็นต้องเข้าจริงๆ อนุญาตให้แปรงฟันกับโกนหนวดเท่านั้น

19 ถ้ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้น จะมีเลือดออกที่มุมปากเสมอ (ถ้ายังมีเหลือ กลัวเสียดายของ อนุญาตให้มีออกทางจมูกอีกนิดหน่อย) ไม่อนุญาตให้มีเลือดออกหู

20 สิ่งของที่แตกหักง่ายมักจะมีโอกาสตกพื้นมากกว่าของอื่นๆ โดยมีลำดับดังนี้ แก้วน้ำ โอกาสตก 50% แจกัน โอกาสตก 30% กระจก โอกาสตก 15% อื่นๆ โอกาสตก 5%

21 ถ้ามีอะไรตกแตก มันจะตกเป็นภาพสโลว์โมชั่นให้คุณเห็นได้จากด้านบนเสมอ

22 ถ้าแจกันหรือแก้วน้ำตกแตก ในนั้นจะต้องมีน้ำบรรจุไว้ 1 ใน 3 ถึง 2 ใน 3 ของความจุ

23 หลังจากมีอะไรตกแตก ภาพที่เกิดหลังจากนั้น ใครซักคนยืนนิ่งทำหน้าเฉยอยู่ตรงนั้น อีกคนวิ่งหนีออกไป เห็นเส้นผมปลิวตอนสะบัดหน้า (ร้องไห้หรือไม่ก็ตามจาย...)

24 มือกลอง มือคีย์บอร์ด มือเบส จะไม่ได้ออกทีวีแบบเห็นหน้าชัดๆ โอกาสเดียวของนักดนตรีคือ มือลีดกีต้าร์ช่วงไม่มีเนื้อเพลงค่ะ

25 ถ้านักดนตรีไม่หล่อแล้วจะถ่ายภาพทั้งวง เค้าจะถูกบดบังด้วยแว่นดำ หรือไม่ก็โดนทำเบลอ

อันตราย...จากข้าวมันไก่

จานข้าวมันไก่ที่วางรอขายนานเกิน 4 ชั่วโมงเตือนผู้ซื้อควรร้องขอให้ผู้ขายลวกเนื้อไก่ซ้ำก่อนซื้อหรือกินเพื่อป้องกันและควบคุมอันตรายจากโรคทางเดินอาหาร
จากการสุ่มตรวจข้าวมันไก่ซึ่งนิยมบริโภคกันอย่างแพร่หลายและมีขายอยู่มากตามริมบาทวิถีทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดโดยนางสาวปรารถนา เกิดบัวบัณฑิตวิทยาลัยวิทยาศาสตร์การอาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พบว่าข้าวมันไก่เป็นอาหารอีกชนิดหนึ่งที่มีการปนเปื้อนจากเชื้อจุลินทรีย์สูงแม้ว่าจะผ่านการปรุงสุกแล้วก็ตามโดยไก่ต้มตัวสุดท้ายถูกแขวนไว้รอขายนาน 8-9 ชั่วโมงจนกว่าจะปิดร้านขณะที่ FAD Food Code
แนะนำเวลาในการรอเสิร์ฟไม่ควรเกิน 4 ชั่วโมงนับตั้งแต่การปรุงสุกสำหรับแบคทีเรียที่ตรวจพบในข้าวมันไก่ คือ S.aureus, C.perfringens, Salmonella โดยเฉพาะเนื้อไก่ที่ปรุงทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้องนานเกิน 5 ชั่วโมงเชื้อจะเจริญเติบโตเพิ่มจำนวนขึ้นมากและ พบเชื้อ E.coliในแตงกวาปอกเปลือกทุกชิ้นที่เป็นเครื่องเคียงกินกับข้าวมันไก่คาดว่าติดมากับใบมีด เขีย! งและมือที่ไม่สะอาดโดยจุลินทรีย์ที่พบสามารถก่อให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียนท้องเดิน ปวดท้องมีไข้หนาวสั่นและอ่อนเพลีย
แต่ความรุนแรงของอาการที่เกิดขึ้นจะแตกต่างไปตามปริมาณและชนิดของเชื้อที่บริโภคผู้วิจัยเสนอแนะว่ามาตรการควบคุมจำนวนจุลินทรีย์ทั้งหมดให้อยู่ในเกณฑ์คุณภาพคือ ควรจำกัดเวลาขายไม่เกิน 4 ชั่วโมงโดยนับเวลาตั้งแต่ต้มไก่สุกจนกระทั่งขายหากเกินเวลาควรมีการอุ่นอาหารก่อนรับประทานซึ่งจะเป็นทางเลือกทำให้เกิดความปลอดภัยต่อการบริโภคมากยิ่งขึ้นนอกจากนี้ผู้ขายควร ระมัดระวังการสัมผัสอาหารที่ปรุงสุกแล้วด้วยมือหรืออุปกรณ์ และภาชนะที่ไม่สะอาดเพื่อไม่ให้เกิดการปนเปื้อนจากจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรค
สำหรับจุลินทรีย์ในน้ำจิ้มข้าวมันไก่มีค่าสูงเกินเกณฑ์คุณภาพทางจุลชีววิทยาของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์อาจเกิดจากการปนเปื้อนมาจากวัตถุดิบไม่สะอาดแต่เนื่องจากระดับ pH ของน้ำจิ้มข้าวมันไก่วัดได้ 4.22 ขณะที่เชื้อแบคทีเรียจะเจริญได้ดีในอาหารที่มี pH 5.5-7.0ดังนั้นสภาวะในน้ำจิ้มจึงไม่เหมาะ ต่อการเจริญของแบคทีเรียอย่างไรก็ตามร้านค้าควรเปลี่ยนน้ำจิ้มใหม่ทุกวัน

สอบวันแรก

วันนี้เป็นวันสอบวันแรก ตื่นเต้นมากๆๆๆ ได้นั่งสอบในห้องแอร์ เย็นสบายสุดๆๆเลย ข้อสอบคณิตศาสตร์กับสุขศึกษายากมาก แต่ก็ทำเต็มที่เลย และก็ผ่านไปด้วยดี

วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2550

วันสุดท้ายแว้ว!!

วันนี้เป็นวันเรียนพิเศษวันสุดท้าย ได้กินข้าวฟรี ซาลาเปาและขนมจีบอร่อยมากๆ *_* และที่อิ่มที่สุด คือ สุนทรี เอาขนมมาให้กินอีก เนื่องในโอกาสวันเกิด อยากเรียนคอร์ส 2 เร็วๆ จัง อ๊ะๆๆ ถ่ายรูปเอาไว้เต็มเลย เดี๋ยวค่อยเอามาให้ดูนะ

ปรัชญาสู่ความยิ่งใหญ่ 5 ข้อ

1. จดจำไม่ลืมเลือน

เรื่องดีเก็บเกี่ยวให้เป็นความทรงจำอันประทับใจเพื่อสร้างความสุขเรื่องร้ายเก็บใส่ใจเอาไว้เป็นเครื่องเตือนใจเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดเช่นเดิมอีกต่อไปในอนาคต

2. โอนอ่อนดั่งต้นหลิว

การอ่อนน้อมถ่อมตน ล้วนเป็นข้อปฏิบัติที่สำคัญสำหรับผู้ที่ประสบความสำเร็จทั้งหลาย การรู้จักปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้เป็นอย่างดีไม่คล้อยตามบุคคลอื่นอย่างไร้เหตุผล การกระทำเช่นนี้เปรียบได้กับต้นหลิวใหญ่ที่รู้จักลู่ลมเมื่อพายุฝนพัดกระหน่ำ แม้ต้นไม้ใหญ่ทั้งหลายจักโค่นล้มลงเท่าใดก็ตาม หากแต่ต้นหลิวก็ยังคงทนอยู่ได้อย่างมั่นคงสืบไป

3. เมตตารู้จักให้

การรู้จักให้ความเมตตา ให้ความรัก ให้อภัย หรือสิ่งใดก็ตามในทางที่ดีแก่ผู้อื่นนั้น ย่อมสร้างความประทับใจให้แก่ผู้ที่ได้ประสบพบเห็นเสมอ ดั่งพุทธพจน์ที่ว่า “ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก”

4. สนใจรับผิดชอบ

ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ไม่ว่าจะเป็นการงาน เรื่องครอบครัว เรื่องเวลานัดหมาย เรื่องเพื่อนฝูงญาติพี่น้องและตนเอง เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ต้องใส่ใจและเอาใจใส่หากบุคคลใดบกพร่องต่อหน้าที่ความรับผิดชอบแล้วไซร้ เห็นที่จะประสบความสำเร็จได้ยาก ซึ่งนั่นก็หมายถึงคุณตัดเส้นทางเดินสู่ความยิ่งใหญ่ของคุณเช่นกัน

5. อดทนจนได้ชัย

“เป้าหมายที่ปลายมือย่อมดีกว่าเป้าหมายที่ปลายฟ้า” ความหวังที่จะประสบผลสำเร็จในความปรารถนาที่จับต้องได้และไม่ไกลเกินฝันนั้น แม้จะยังไม่สำเร็จในวันนี้หากรู้จักความมานะอดทนสักวันหนึ่งวันข้างหน้าก็ต้องประสบความสำเร็จจนได้ เช่นเดียวกับสมาคมยกน้ำหนักสมัครเล่นแห่งประเทศไทยที่พี่ชายผู้เขียนเป็นนายกสมาคมฯ และผู้เขียนเป็นที่ปรึกษาสมาคมฯ ซึ่งกลายเป็นทีมกีฬายอดเยี่ยมแห่งปี 2547 สามารถคว้าเหรียญกีฬาโอลิมปิค ได้ถึง 4 เหรียญ เราต้องใช้ระยะเวลาในการหล่อหลอมฝึกฝนนักกีฬาแต่ละคนไม่ต่ำกว่า 8- 10 ปี ต้องฟันฝ่าอุปสรรคนานัปการ กว่าจะมีวันแห่งชัยชนะและเป็นสุดยอดของทีมนักกีฬาไทย หรือแม้กระทั่งทีมเชียร์ลีดเดอร์ของมหาวิทยาลัยรังสิต ที่ได้รับชัยชนะจากการแข่งขันที่ประเทศอังกฤษจนกระทั่งกลายเป็นทีมเชียร์ลีดเดอร์แชมป์โลก ต่างก็ต้องอดทนต่ออุปสรรคมากมายกว่าจะถึงเส้นชัย ดังนั้นการก้าวไปสู่ความยิ่งใหญ่นั้นจำเป็นต้องอดทน


...นี่แหละคือปรัชญาสู่ความยิ่งใหญ่....ที่ดูเหมือนง่ายแต่ทำได้ยาก...

วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2550

L'histoire des Teddy Bears

Les Teddy Bears sont devenus tellementpopulaires de nos jours que toutesles compagnies de jouets veulent fabriquerleur version du Teddy Bear.Des nouvelles compagnies fabriquant desTeddy Bears voient le jour chaque ann้e.Voyons donc l'histoire de cetteindustrie qu'est devenue le Teddy Bear,et en même temps, l'histoire des Teddy Bears eux-mêmes.
La période 1906-1908 a vul'engouement du Teddy Bear monteren flèche, spécialement enAmérique. L'allemagne était leprincipal manufacturier de Teddy Bears,et en produisait beaucoup servantà l'exportation.Les oursons faits avant la PremièreGuerre Mondiale ont habituellement desyeux en boutons de bottines. Ils ont peu àpeu été remplacés par desyeux en verre au début des années 1920,à l'exception des ours Anglaiset des Steiff (en Allemagne), quiutilisaient les yeux de verre depuis1912 déjà. Le matérielutilisé pour rembourrer les oursétait habituellement de l'excelsior,aussi connue sous le nom de laine de bois.Il s'agit de longs et fins filamentsde bois utilisés entre autre pour emballer la porcelaine.Vers 1908 les manufacturiers ont commencéà insérer des mécanismes de grognementsdans la plupart de leurs ours, quifonctionne lorsque l'ours avance et recule.Les premiers ours Américains et Allemandsont une bosse dans le dos, résultatd'études artistiques sur les vrais ours,qui ont développé des muscles auxépaules (C'est ce qui donne au dos des vraisours cette apparence de bosse).Les premiers ours Allemands, spécialementles Steiff, ont des assez longs museaux,des yeux en boutons de bottines,de très longs bras, une petitebosse dans le dos et des trèslarges pieds avec des "pads" en feutre.
Les premiers ours Anglais typiques ontdes bras plus courts, pour économiserle tissu, des yeux en boutons de bottinesde moins bonne qualité, une toutepetite bosse dans le dos, ou même pasde bosse du tout, et des chevilles sansforme. Leurs "pads" étaient habituellementfaits de coton épais au lieu de feutre.
Les premiers ours Américains ontdes grandes et larges oreilles, des facestriangulaires, une bosse dans le dos etun corps très allongé.
Le début de la Première Guerre Mondialeen 1914 a changé la face de l'oursun peu partout dans le monde.L'interdiction d'importer des oursd'Allemagne a forcé les autres pays àfabriquer plus d'ours pour eux-mêmes.Des compagnies commes Chad Valley,Chiltern et Merrythough en Angleterre,Pintel et Fadap en France et Joy Toysen Australie ont vu le jour dans cettepériode, venant rejoindre des compagniesdéjà établies comme Deans et Farnell.
À cette époque, il est devenuimpensable pour un enfant de ne pas avoirde Teddy Bear. Aussi, les Teddiessont devenus très à la mode.
Des alternatives au mohair, très coûteux,font leur apparition dans des couleurs trèsbelles et deviennent très populaires.Le Kapok est davantage utilisé pourrembourrer l'ours et des yeux de verrepeints à l'émail deviennent des alternativespopulaires aux yeux de verres Allemandssoufflés à la main.
L'ours dans la littérature commenceà faire son apparition dans les revuesaux alentours de 1920, en même tempsque l'ours musical et l'ours mécanique.Les ours miniatures deviennent eux aussipopulaires à cette époque.
Dans les années 1930 les oursonsPandas font leur apparition, aprèsque fussent introduits dans les zoosd'Amérique et d'Angleterre les premiersvrais pandas.
Plusieurs ours Anglais, de cette époquejusqu'à 1950, ont des "pads" en simili cuir.
La Seconde Guerre Mondiale, en 1939,met virtuellement un stop à tousles manufacturiers de jouets, car lesmatériaux et les travailleurs servent àl'Effort de guerre. Plusieurs de cesusines de jouets n'ont plus réouvertet ceux qui avaient réouvert avaient àtrouver des idées de patrons pour queles ours coûtent moins cher àfabriquer. On vit alors apparaître desours aux plus petits membres, auxplus petits corps, et aux visages plusétroits. Une façon de couper dans ladépense de mohair était d'habiller les ours;cela permettait de donner aux ours descorps de coton, puisqu'ils ne paraissaientpas. Après la Seconde Guerre, plusieursnouveaux manufacturiers se sont établis dansla zone Américaine de l'Allemagne et lesours étaient faits des matériauxdisponibles: souvent de la laine ou ducoton. Le Kapok et la laine de boisfurent remplacés par des restesde coton.
Une fois que l'industrie du joueteut récupéré plusieurs des tissussynthétiques d'avant la Guerre, est venuela période des nez en plastique.Les premiers yeux sécuritaires ont étébrevetés en 1948 par Wendy Bostonet c'est aussi elle qui a introduitle premier ours totalement lavable,fait de nylon et rembourré avec de la mousse.
Les années 1960 et 1970 ont vuun mouvement de "rejet" de l'ourstraditionnel fait à la mainau profit de la production de masse.La compétition très forte de l'Asiea fait que plusieurs petits manufacturiersn'ont pu survivre. Cependant, ceux quisurvécurent, comme Steiff, Deans et la Ideal, ont continué à fabriquer des ourstraditionnels ressemblant aux premiersTeddies. Ces ours ont une grande valeurde collection de nos jours.
Finalement, dans les années 1980,les Artistes d'ours firent leur apparition,tout d'abord sur la côte Ouestdes USA, et après quelques annéesun peu partout dans le monde.La décennie 1980 a aussi vu naîtredes répliques de Steiff.Ils ont copié plusieurs de leurspremiers ours en édition limitée.Toutes les compagnies qui sont établiesdepuis longtemps ont faits des répliquesde leurs propres ours.